ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต
คำขวัญวันเด็กที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กแต่ละปีจะเป็นข้อคิดและคติที่สะท้อนภาพเด็กในแต่ละยุค
เพื่อให้เด็ก มีคุณสมบัติและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์เตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่อันมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อไปในอนาคต
“ความรู้
คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต”
เป็นคำขวัญที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบให้ปี พ.ศ.๒๕๕๘[๑] เพื่อมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเอง
โดยนอกจากความรู้ที่ได้รับการบ่มเพาะจากครอบครัวและโรงเรียนแล้ว เด็กๆ
ทั้งหลายควรได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนที่จะต้องหมั่นศึกษาเล่าเรียนเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้
มีความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่ดี ตลอดจนมีจิตสาธารณะ
รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม คำนึงถึงประเทศชาติ โดยมีคุณธรรมนำจิตใจ นั่นสะท้อนว่าสังคมต้องการเห็นเด็กไทยมีทั้งความรู้และคุณธรรมไปพร้อมกัน
ความรู้
เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในสังคมที่มีวิวัฒนาการตลอดเวลา เริ่มแรกโลกมนุษย์เป็นยุค “เกษตรกรรม” การผลิตใช้แรงงานคนเป็นหลัก เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นต้องผลิตอาหารมากๆ
ให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
มนุษย์จึงรู้จักคิดค้นประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงช่วยในการผลิตได้มากขึ้น เป็น “ยุคอุตสาหกรรม” จากนั้นได้นำความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลผลิต
จึงเป็น “ยุคเทคโนโลยี” แต่ปัจจุบันมนุษย์อยู่ยุคธุรกิจแห่งความคิด
ประเทศที่พึ่งพาความรู้และความคิดจะขยายความคิดได้มาก อย่างไม่จำกัด
ยิ่งขยายความคิดมากเท่าใดคุณค่าก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ใช้การพัฒนาธุรกิจด้วยความคิดริเริ่มที่แปลกใหม่
เปิดช่องทางบริการเข้าถึงสินค้าหลายช่องทางที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
ข้อมูลกระจายรวดเร็ว จึงเป็นโลกแห่ง “เทคโนโลยีสารสนเทศ” วิวัฒนาการของโลกดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ามนุษย์จำเป็นต้องแสวงหาความรู้เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต
การแก้ปัญหาเพื่อมีชีวิตอยู่รอดย่อมต้องอาศัยความรู้ แต่มวลมนุษย์จะไม่สามารถอยู่อย่างสุขสงบได้หากปราศจากซึ่งคุณธรรม
คุณธรรม มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความรู้
การพัฒนาของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาในด้านการเจริญเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
และปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตมองกันที่อุตสาหกรรม เน้นการเจริญทางด้านวัตถุ
จนเกิดผลร้ายต่อธรรมชาติแวดล้อมเป็นการพัฒนาที่ไม่สมดุล เพื่อความอยู่รอดมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติจนร่อยหรอ และก่อให้เกิดปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัจจุบันคนไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤตค่านิยม
จริยธรรม และพฤติกรรม ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนเรื่อง การลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์
ปล้นทรัพย์ เป็นรายวัน การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กอันเกิดจากการกระทำของบิดาโดยสายโลหิตแท้ๆ
ตลอดจนผลกระทบจากวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้าสู่ประเทศไทยผ่านสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งเด็กและเยาวชนยังไม่สามารถคัดกรองและเลือกรับวัฒนธรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ประกอบกับสถาบันทางสังคม
สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษา
มีบทบาทน้อยลงในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และพัฒนาศักยภาพคนไทยโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน
สถาบันครอบครัวล่มสลายพ่อแม่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเองทำให้ละเลยที่จะอบรมเอาใจใส่ลูก
เพื่อนและสังคมภายนอกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถจะชักจูงลูกมากกว่าครอบครัว สถาบันการศึกษา
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณธรรมของผู้เรียนไม่มากเท่าที่ควร สถาบันศาสนาก็ยังใช้ประโยชน์จากศาสนาสถานและบุคลากรทางศาสนาซึ่งมีอยู่มากมายไม่เต็มที่ และประการสำคัญสังคมไทยต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเมือง
ประชาชนขาดความเข้าใจในประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องต่อสู้ด้วยเงินหรือผลประโยชน์ด้านเงิน
ปัญหาทางการเมืองส่งผลให้คนไทยมีความคิดแตกต่างกลายเป็นปัญหาความแตกแยกในสังคม
ดังจะเห็นได้ว่า
ประเทศไทยจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกหากไม่พัฒนาคนให้มีความรู้และใช้ความรู้อย่างมีคุณธรรม
ทุกๆ หน่วยของสังคมจะต้องร่วมกันทำหน้าที่ของตนเองในการสรรค์สร้างคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม
เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนอันจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในอนาคตสืบไป
[๑]
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (๒๕๕๗). เมล็ดพันธุ์ของชาติ
หนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘.
กรุงเทพมหานคร
: สำนักงาน.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น